วันพฤหัสบดีที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

Korea-1

มื้อแรกบนเครื่องบิน 7โมงครึ่งของเกาหลี แต่ ตี5 บ้านเรา กินไม่ค่อยจะลง












ออกจากสนามบินไปยัง blue house แต่ไม่ได้ถ่ายรูปอะ เผลอหลับ
มาอีกทีก็ที่พิพิธภัณฑ์คติชน รวบรวมประวัติศาสตร์ความเป็นมาของเกาหลี












บรรยากาศด้านนอก ใบไม้เริ่มเปลี่ยนสีแล้ว ที่เห็นสีเหลืองต้นแปะก๊วย













อากาศกำลังดี เย็นๆหนาวๆ















จำลองร้านขายยาในสมัยก่อน














พอเข้าไปในด้านในก็จะเห็น เครื่องมือทางดาราศาสตร์ เป็นสิ่งประดิษฐ์สมัยโบราณ
เป็นของที่คนเกาหลีภูมิใจมาก ที่ด้านหลังของธนบัตรก็จะมีรูปนี้ล่ะ















แบบจำลองที่อยู่อาศัยในสมัยก่อน














ถ่ายไม่ค่อยจะชัดอะ เพราะเค้าห้ามใช้แฟลช














ภาพเขียนผนังในสมัยโบราณ














ในสมัยก่อนคนเกาหลีอยู่กันแบบเนี้ย















หนังสือในสมัยก่อนนู่นนนน




























ต่อจากนั้นก็มาต่อที่พระราชวังเคียงบ็อค ด้านนี้รู้สึกว่าจะเป็นท้องพระโรงมั้ง














ส่วนอันนี้จะเป็นประตูทางเข้าไปยังเขตพระราชฐาน ประตูนี้สำหรับสนม
















ส่วนอันนี้เป็นสถานที่เอาไว้จัดการแสดง และสำหรับต้อนรับแขกบ้านแขกเมือง















นี่ก็อีกมุมหนึ่ง













ต่อพรุ่งนี้เนอะ
























































เกรดออกหมดแร้ววววว

เปิดเทอมมาอาทิตย์กว่า เกรดตัวสุดท้ายเพิ่งจะออก เกรดขึ้นมาอีกกะปิ๊นึง เป็น 3.17 จากตอนเทอม1ปี1 เกือบจะไม่ถึง 2
พรุ่งนี้ต้องไปเกาหลีแระ แต่ว่ายังมะได้จัดของเรยยยย ขี้เกียจจจจ เฮ้อออออออ มาบ่นแค่นี้ล่ะ
ไปทำการบ้านแระ ยังมะได้ทำ
ปล.หิวอะ
ปล.กินข้าวหมูแดงองค์พระปฐมเจดีย์ จานละ 40 แพงแท้
ปล.กลับมาแร้วจะเอารูปมาโพสสสส

วันอาทิตย์ที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2551

สุดท้ายความพยายามก็สำเร็จ

ช่วงนี้อยู่ในช่วงลุ้นระทึกกับเกรด
ตอนนี้เกรดออกมาแล้ว 555 ภาษาอังกฤษ รอดตายแล้ว แอบนิสัยไม่ดี เอาไปเปรียบเทียบกับเพื่อน
พูดง่ายๆอิจฉาเพื่อนว่างั้นเถอะ แต่สุดท้ายก็ได้ เกรดเท่ากัน ได้ D+ ภูมิใจนะเนี้ย ดีกว่า F ที่อิจฉา
เนี้ย เพราะตอนเรียนก็เรียนด้วยกัน เทียบกันแร้ว เราก็ตั้งใจเรียนเหมือนเพื่อนนั่นล่ะ ทำไม เกรด midterm
ออกมาเพื่อนได้ดีกว่า แต่ก็นะ สุดท้ายก็รอดตาย
ส่วนอีกวิชา มรดกทางการแสดงและศิลปะ มีทั้งหมด 7 ข้อ สามชั่วโมง ออกมาเป็นคนแรก จิงๆไม่ได้ง่ายหรอก
แต่เขียนแบบวนไปวนมา ประมาณแค่ ครึ่งหน้า พอมานั่งคุยกัน คนอื่นเขียนกัน 3-4 หน้า เริ่มวิตกอีกว่าจะตก
มั๊ยเนี้ย เพราะคำถามประมาณว่า ความเป็นศิลปะไทย คืออะไร ความเป็นศิลปะอินเดีย,จีน คืออะไร ศิลปะการแสดงของอินเดียโบราณ
ตกทอดภูมิปัญญามาถึงในสมัยปัจจุบันมีอะไรบ้าง เห็นมะแต่ล่ะคำถาม คนอื่นก็นั่งวาดรูปเจดีย์แต่ละสมัย แล้วก็อธิบาย ทรงพุ่มข้าวบิณท์
ทรงย่อมุม อะนะ แต่นี้มีแต่ตัวหนังสือ แถมที่เล็งๆไว้ว่าจะตอบ เข้าไปนั่งพอจะลงมือเขียน ส่วนที่เป็นเนื้อๆลืม เขียนไปแต่น้ำ
จิงๆวิชาเนี้ยเป็นอะไรที่เหมือนจะง่ายนะตอนเรียน เปิดวิดีโอให้ดู เปิดดนตรีบรรเลงของจีนให้ฟังแล้วให้บรรยายความรู้สึก ว่า
เสียงเหมือนน้ำตกลงจากที่สูงกระแทกกับโขดหิน ให้ความรู้สึก...... อ่านะ ประมาณเนี้ย เวลาเรียนแต่ละคาบจดได้ประมาณ 3-4 บรรทัด
วิชาอื่นจดได้เป็นหน้า พอตอนสอบให้เขียนอธิบายให้เข้าใจ เห็นมะว่าตอนเรียนเหมือนจะง่าย พอสอบจะตายเอา
เทอมนี้ก็โล่งไปแร้ว รอเทอมหน้าไปนั่งเกร็ง นั่งลุ้น นั่งเครียดกันมั๊ย
ช่วงนี้ไม่ค่อยได้แตะคอมเลย โดดองค์หญิงที่บ้านยึด เลยไม่เค่อยจะได้อ่าน บล็อค หรือไปเม้นท์ ขออภัยด้วยค่า

วันเสาร์ที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2551

เคยกินเบตาดีนมั๊ย!

เมื่อวานไปขูดหินปูนมา เจ็บสุดๆ ผู้ช่วยถามว่า "เจ็บมั๊ย"
คุณหมอรีบตอบแทน "เลือดออกเยอะขนาดนี้ไม่เจ็บได้ไง"
ให้กำลังใจกันน่าดูฟังแล้วใจแป้ว พอเสร็จหมอก็ทาเบตาดีน ตรงเหงือก เพราะว่าเลือดออกเยอะมาก
คุณหมอ"เด๋วจะทายาหน่อยนะคะ รสชาติมันจะแปลกๆ ไม่ค่อยอร่อย"
ตอนแรกก็ไม่รู้หรอกว่าจะทาอะไรให้ พอเริ่มทารู้เลยว่าทาอะไร ตอนนั้นไม่เห็นหรอก เพราะมีผ้าปิดไว้อยู่
พอกินๆไปรสชาติก็บอกไม่ถูก ก็รสเหมือนเบตาดีนนั่นล่ะ ปะแล่มๆ เพิ่งจะรู้ว่าเบตาดีน กินได้มั้ง
หมอบอกว่า มีฟันคุด 2 ซี่ข้างบนกะล่างซ้าย รีบบอกหมอไปว่า "คุณหมอคนก่อนบอกว่าถ้าไม่เจ็บยังไม่ต้องถอน"
หมอก็เหมือนจะยินยอม โล่งใจไป แต่พอจะเดินออกจากห้อง "รอแปปนะคะ" เขียนใส่กระดาษใบนัดบอกว่าให้เอาให้ด้านหน้า
ก็นึกว่าเป็นใบบันทึกว่ามีฟันคุดที่ไหนได้ กลายเป็นนัดถอนฟันคุดซะงั้น
ไม่อยากจะถอนเลย จิงๆมันไม่เจ็บมันไม่ปวดก็ไม่ต้องถอนก็ได้ไม่ใช่เหรอ กะลังคิดอยู่ว่าถ้าไหนๆก็ต้องถอน จะดัดฟันไปด้วยเลยดีมั๊ย
คราวที่แล้วหมอบอกว่าถ้าจะดัดฟันต้องถอนฟันคุด เลยเปลี่ยนใจ แต่ตอนนี้ยังไม่รู้เลย
เฮ้อออออ ไม่ถอนได้มั๊ย
+++ มีอีกข่าว เกรดภาษาจีนเพิ่งจะออก หลังจากวิตกจริตทุกครั้งที่มีการสอบ และมักจะบ่นเสมอว่า จะพยายามไปทำไมในเมื่อเกรดก็ได้เท่ากับคนที่ไม่พยายาม
แต่ตอนนนี้ค่อยดีใจหน่อย ได้ B+ มา ส่วนอีกวิชาได้ A ตอนนี้ก็รอลุ้นภาษาอังกฤษว่าจะมีชีวิตรอดมั๊ย ถ้าไม่ตกจะดีมั่กๆๆๆ
ปล.คนเราได้คืบจะเอาศอก ได้เกรด บีบวก ก็ยังอุตส่าห์คิดว่า ทำไมไม่ได้ เอ นะ (โลภเนอะ)

วันจันทร์ที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2551

ซวยจิงๆเรยย+กิจวัตรประจำวัน

อุตส่าห์สอบเสร็จสบายใจจะตาย แต่ทว่า วันอาทิตย์ มือถือหายยยยยยยยยยยย โหยยยย เกิดอะขึ้นเนี้ย เพิ่งใช้ได้ ไม่ถึง 6 เดือนเอง แล้วถ้าจำไม่ผิดเดือนนี้เมื่อปี
ที่แล้ว มือถือก็หาย เครื่องนั้นใช้ได้ 10 วัน ลืมวางทิ้งไว้ แต่คราวนี้ไปยืนชุลมุนรอรถเมล์อยู่อนุสาวรีย์ หายไปซะงั้น ในช่วงเวลาไม่น่าจะเกิน 15 นาที แล้วเครื่องนี้คุงมิรินก็ซื้อให้ซะด้วย มีมือถือสองเครื่องในกระเป๋า หายไปแต่เครื่องแพง เครื่องถูกๆไม่รู้จักล้วง ตอนนี้ขอพักก่อนไม่ใช้แระ 2 เบอร์ ใช้เครื่องล่ะ2000 กว่าบาทไปแระกัน สงสัยดวงจะสมพงษ์กับเครื่องมือสองซะมั้ง เพราะก่อนหน้านี้ เครื่องมือสอง ใช้ทนมือจิงๆ ยังไง ก็ไม่หาย เฮ้อออ จิตตก ก่อนจะนอน นึกทุกที "มันหายไปแล้วเหรอเนี้ย หายจิงๆเหยอ" เป็นเงี้ย สองวันแระ
มาอยู่ที่บ้านกรุงเทพกินตลอดเวลา อืดดด กินเมี่ยงก๋วยเตี๋ยว กินเสร็จเล่นไพ่ เล่นๆกันหิว ก็ยกขึ้นมากินใหม่ นู่น ยันตีสอง กิจวัตร ระหว่างเล่นก็เปิดซีรี่ย์เกาหลีดู

วันจันทร์ที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2551

เพิ่งจะได้ว่าง

กว่าจะโล่งได้ สอบเสร็จไปเกือบหมดแล้ว เหลือตัวสุดท้ายสอบวันศุกร์ อยากเข้ามามากมาย แต่ก็ห้ามใจไว้ก่อนมิเช่นนั้นจะไม่ได้อ่านหนังสือ
เพื่อนโทรมาถามความเห็นว่า"ถ้ารู้ว่าแฟนคุยกะแฟนเก่าเรื่องของเรา จะบอกเลิกกะแฟนดีมั๊ย มันเหมือนไม่ไว้ใจกัน เรื่องของคนสองคนทำไมต้องให้คนอื่นมาบอก
ไม่ใช่ให้คนอื่นมาบอก" ฟังแล้วก็เหมือนปัญหาโลกแตกเนอะ จิงๆก็เข้าใจนะ แต่ถ้าจะมองอีกมุมก็เข้าใจอีกฝ่ายเหมือนกัน เพื่อนมันบอกว่าเคยบอกแฟนไปแล้วว่า มีอะไรให้พูดตรงๆ แต่ก็อย่างว่า ผู้ชายอะ กว่าจะง้างปากให้พูดแต่ละทีมันก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ก็ได้แต่ปลอบเพื่อนไปว่าอยู่ที่ว่าจะคิดมองในแง่ดีหรือแง่ร้าย บางทีอาจจะไม่ได้ว่าลืมไม่ได้หรอก เพียงแต่ว่า แฟนเก่า อย่างน้อยๆ ครั้งหนึ่งก็ได้เคยสนิท เคยรู้จักกัน อาจจะคิดว่าเข้าใจเราก็ได้ ใช่มั้ง! คิดว่าน่าจะมีบางล่ะ แต่พฤติกรรมก็น่าสงสัยตรงที่ว่า แอบโทรตอนมันหลับไปแล้ววววว สรุปว่า ถ้าเชื่อใจกัน ก็มองในแง่ดีเข้าไว้ จะได้ไม่ต้องทุกข์ใจมาก

วันพฤหัสบดีที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2551

อะไรๆก็ไม่เป็นอย่างที่ตั้งใจไว้สักอย่าง

เซร็งซะทุกอย่าง อาทิตย์นี้เป็นอะไรก็ไม่รู้ ไม่ได้อย่างที่ตั้งใจไว้ซะอย่าง
เฮ้อออ เหนื่อยแล้วนะ ต่อไปนี้ต้องไม่ตั้งใจ ใช่มะ ถึงจะได้อยากที่อยากได้
โหยยยยยยยยยยยยย เบื่อ

วันจันทร์ที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2551

ยังจำปักเป้ากันได้มั๊ย!

ไม่รู้ว่าจะมีคนจำได้บ้างป่าว เพราะว่าไม่ได้เขียนถึงปักเป้านานแระ เพราะว่าไม่ได้คุยกันเลย แต่เมื่อวันอาทิตย์โทรไปถามปักเป้า เรื่องพาสปอร์ต ก็เลยได้คุยนิหน่อย ยังไม่ทันจะอ้าปากถามเลยยย ปักเป้าก็ดักคอว่า
"โทรมาทวงวันเกิดใช่มั๊ยเนี้ย" โหยยยย กัดกันซะแระ
" เหอะๆ ป่าว ไม่คิดว่าคุณจะจำได้อะ โทรมาเรื่องอื่น"
ปักเป้า ตอบมาด้วยเสียงเป็ดๆว่า "ฟังแล้วเหมือนด่าฉันยังไงก็ไม่รู้"
ตอบกลับไปด้วยเสียงวี๊ดวิ้วที่สุดในโลก "ป่าวค่า.... ที่รัก ใครจะกล้าว่า"
ความเงียบครอบงำ 3 วิ "อะเหรอ เออออ วันนั้นอะที่ส่งไปมาให้ ได้ดูแล้ว เก่งเหมือนกันเนี้ย บลา บลา"
นั่นแระ เม้าท์ไปสักพัก ก็บอกปักเป้าว่าจะได้ไปเที่ยวเนอะ เด๋วจะซื้อของมาฝาก
"ไม่ต้องหรอกกก"
"ได้ไง ก็จะทำให้ดูไง ไม่ได้ซื้ออะไรที่มันยากเย็นเลย ก็น้ำแข็งหลอดที่เคยฝากคุณซื้อทุกครั้ง แล้วก็ไม่เคยได้สักครั้ง"
" ได้ๆจะรอดูนะ ส่งมาให้ถึงล่ะ"
ก็นะ ปักเป้าไปเที่ยวทีไร ก็บอกว่าขอของฝากด้วย ไม่ได้แพงไปเลย แค่น้ำแข็งหลอด แต่ปักเป้าก็มิได้นำพา สักที

วันอังคารที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2551

เพื่อนๆเซอร์ไพรส์วันเกิด(ขอนิดนุง)



ปล.ลงรูปแล้วมันมึนๆ จัดหน้าไม่ได้ รูปนี้ลงทีลงแต่มาโผล่อันแรก เอาเป็นว่า อ่านข้างล่างก่อนแล้วค่อยมาอ่านข้างบนเนอะ รูปนี้เค้กข้าพเจ้าเอง ที่เห็นปักเทียนแค่ 6 เล่ม เหตุเพราะว่า มีเทียนเหลืออยู่แค่นั้นล่ะ




มันก็ไม่ได้มีอะไรมากมายหรอก แต่อยากจะเก็บไว้เป็นความรู้สึกดีๆ เพราะตั้งแต่เรียนไม่ว่าจะมัธยมหรือมหาลัยไม่เคยมีสักปี(เหมือนเป็นพวกเพื่อนไม่คบเนอะ)



เมื่อวานเลิกเรียนช้าไปอีกหนึ่งคาบ อารมณ์เริ่มเสีย เริ่มรีบอยากกลับ เพื่อนก็บอกตั้งแต่ต้นคาบว่าเลิกเรียนประชุมงาน เซร็งอีก หมดคาบเดินดุ่ยๆจะออกนอกห้อง เพื่อนมันเบรคไว้ แล้วเอาเค้กมาให้สองชิ้นแล้วร้องเพลงให้ อืมมมมม อายมั๊ยล่ะ คนยังอยู่เต็มห้องเรียน แต่ก็รู้สึกดีที่เพื่อนมันตั้งใจทำให้ ว่าจะถ่ายรูปล่ะ แต่รับ

โทร. หันกลับมามันกินกันหมดแล้ว ดีจิงๆ เหลือแต่ซาก

รูปนี้เป็นเค้กที่เป่าล่วงหน้าไปตั้งแต่วันอาทิตย์ ก้อนนี้ของน้อง จิงๆก้อนเดียวก็พอ แต่หาเรื่องซื้อสองก้อนเพราะอยากกินกันหลายคน เด๋วไม่พอ อร่อยมากๆ ยังหิ้วกลับมากินต่อที่หอ






วันจันทร์ที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2551

วันนี้ในที่สุดก็ บรรลุนิติภาวะแล้ว


ภูมิใจมั๊ยเนี้ย แต่เรื่องแรกเลยนะ ก็ดีใจๆ จะได้เที่ยวแล้วไม่ต้องกังวลเวลาตรวจบัตรไง เมื่อก่อน 18 เที่ยวได้ พอใกล้จะ 18 เปลี่ยนมา 20 มาปีนี้ในที่สุดก็ได้ซะที เหอะๆ จิงๆไม่ได้ไปไหนหรอก แค่พูดกะแม่ขำๆ เพราะเวลากลับบ้านแล้วแม่ชวนไปเที่ยว ไปมะได้ หน้าผ่านแต่อายุไม่ถึง กลับบ้านเมื่ออาทิตย์ก่อนก็เลย เป่าเค้กล่วงหน้า ก็รู้สึกแปลกๆดี ไม่ได้เป่ามาหลายปีแระ ย้อนรวมกะน้องและยาย เลยซื้อมา 2 ก้อน ที่ร้าน Boat เจ้าประจำ อร่อยสุดๆ กินเสร็จก็ยังงง เพียรพยายาม หอบกลับมากินต่อที่หอ เฮ้อออ อยากกินอีก 555 ก็มันอร่อยอะ

วันพุธที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2551

มะใช่ผีนะ

พี่ลิง - เอ่อออ คือว่า มะใช่ผีนะที่นึกถึงแล้วจะโผล่มาเนี้ย แต่ก็ดีใจน้าที่พี่นึกถึง เห่อๆๆๆ
พี่พิม - มะรุ้ว่าคืนนั้นโกรธกันรึเปล่า แต่รู้ว่าพี่พิมใจดีคงไม่โกรธกันใช่ม้า มันเป็นเหตุสุดวิสัยจิงๆ ที่หายไปก็ไปอ่านหนังสือ สอบล่ะ

เอาเรื่องล่าสุดเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมาดีกว่า ช่วงปลายเดือนสคเนี้ยเป็นอะไรที่ต้องเสียตังค์ทั้งนั้น เพราะว่า วันเกิดยาย วันเกิดน้า และวันเกิดน้อง สามคนเรียงกัน จะตายเอา เมื่อวันเสาร์เรยพายายไปกินชาบูชิ จิงๆยายไม่อยากหรอก คนที่อยากน่ะหลาน ไปทั้งหมด 7 คน นึกสภาพดูล่ะกันว่ามันจะอบอุ่นนน สุดๆ คนที่กินคุ้มสุด
ก็น้อง จากที่คาดคะเนแล้ว กุ้งเทมปุระคงหมดกระชัง แล้วก็ไอติมอีกคงหมดถังอะ เสร็จแล้วก็รีบจรลีกลับบ้าน เตรียมตัวไปทำพิธีอะไรก็ไม่รู้ รู้จักคนคนนึงเค้าแนะนำ
ก็เริ่มตั้งแต่ เค้าบอกมาน่ะ...ห้ามวางที่เก็บรองเท้าไว้หน้าบ้าน ก็ย้ายกันซะ แล้วก็ย้ายที่นอนพ่อกะแม่เพราะว่าไปตรงกับเหล่าเอี้ย ใช่มะ เขียนถูกปะ เพราะว่ามันกลายเป็นนอนทับกันพอดี ประตูห้องนอนห้ามตรงกะระเบียง ฉะนั้นที่ห้องก็ปิดประตูระเบียงถาวร ประตูครัวห้ามหันออกหน้าบ้าน ก็ต้องไปหา มู่ลี่มาใส่ ต้องเป็นลายไผ่ด้วยนะ แต่ยังหาไม่ได้ ประมาณเนี้ย จิงๆก็เหมือนงมงายอะนะ แต่คนแนะนำว่าทำแล้วจะดีก็ต้องลองทำดู
เย็นวันเสาร์ ก็ไปทำกระแบะกระบาน ปะ ไม่รู้เขียนยังไง แล้วก็ไปที่ทางสามแพร่งก็ทำพิธีกันไป ทำไปก็ลุ้นไปเพราะจะกลับไปดูมวย แต่ระหว่างนั้น พี่สาวก็เจอของดีซะเลย พี่เล่าว่า ระหว่างที่กำลังก้มหัวลงไหว้ศาลอะ ก็ได้ยินเสียงดนตรีไทย พอเงยหน้าดูก็ไม่เห็นมีอะไร พอก้มอีกก็ได้ยินอีก ที่นี้คิดว่าหูแว่ว ก็เลยตั้งใจจะฟัง เท่านั้นล่ะ เสียงดนตรีไทยหายไปเลย น้าเล่าให้ฟังว่าคนที่ทำพิธีเนี้ย เสร็จกลับไปถูกหวยทุกคน เพราะเมื่องวดที่แล้วน้าผู้หญิงกะน้าผู้ชาย กะยาย ก็ทำพิธีเนี้ย กลับไปถูกหวยกันหมดอะ ถูกลอตเตอรรี่กะหวย คนละ 20 บาท เด๋วรอลุ้นพ่อกะแม่ล่ะกันว่าจะถูกป่าว คนอื่นที่มาทำก็แบบคนที่แย่ๆเลย กลับไปก็ถูกหวยติดกัน 10 งวดอะ พอทำพิธีเสร็จก็กลับมาที่บ้านของคนทรง เค้าก็จะดูดวงให้ อืม พอยืนมือไปให้ดูถามวันเดือนปีเกิด ปู่พูดว่า เอ็งเนี้ยมีสองร่างน่ะ ก็มีร่างตัวผู้กะตัวเมีย กร๊ากก
แม่กะพ่อหัวเราะหึหึ แล้วก็ อนาคตไม่ต้องห่วง เอ็งจะรวย รวยแล้วอย่าลืมปู่นะ (สมพรปากเหอะ) แล้วก็อีกหลายอย่าง ดูกันครบหมด กำลังจะกลับ ปู่ก็เรียกพ่อขึ้นไปจุดธูปไหว้เจ้าที่ ปู่บอกว่า เดินทางไกลจะมีปัญหา แต่ไหว้ซะมันจะได้ไม่หนักหนา แง่ววว ฟังแล้วน่ากัว ขับรถกลับดึกๆ ด่านจ่ายค่าทางด่วน ก็เจอเลย ตำรวจเรียก หาว่าไม่ติด ใบเสียภาษี จิงๆอะติด แต่ตำรวจมองไม่เห็นไง แล้วก้อยังจะมาบ่นอีกว่าติดให้เห็นๆหน่อย จะได้ไม่ต้องเสียเวลาเรียกตรวจ ไม่รู้ว่าบังเอิญไปป่าว ปกติขับรถไม่เคยโดนเรียกแบบเนี้ย อ๋อออ ลืมไป ตอนปู่เค้าดูดวงให้ทีแรกก็คิดอยู่นะว่าหลอกกันป่าว แต่หน้าผู้หญิงอะจากที่ใสๆก็ย่น คิ้วขมวด แก่ไปเลย พยายามนั่งดูว่าถ้าฝืนมันก็ต้องมีเผลอคลายคิ้วออกบ้างเพราะมันจะเมื่อย แต่นั่งจ้องนานมากอะ ก็ย่นอยู่อย่างนั้น ก็แล้วแต่จะคิดล่ะที่เนี้ย
สรุปทั้งหมดที่เกิดขึ้นจิงไม่จิงก็ต้องรอดูกันไป ที่จะดูกันเห็นๆเลยนะ ก็รอดูว่าพ่อกะแม่จะถูกหวยป่าว เพราะตอนไหวที่ทางสามแพร่งก็เห็นเลขกะเค้าเหมือนกัน ที่ขอบไม้ ตรงกันกะที่ยายเห็นด้วย .....
---ไปแระ ไปเรียนก่อน

ได้ที่เขียนไดใหม่แล้วว

เพิ่งจะควานหามาได้ อยากจะอ่านของทุกคนให้หมดเรย แต่ทว่าดึกแระ เด๋วพรุ่งนี้ค่อยมาตามอ่านใหม่ล่ะกัน มีเรื่องจะอัพอยู่เยอะ จนลืมไปหมดแระ เด๋วจะขุดมาใหม่......... อืมม ช่างโล้นได้ใจจิงๆ ไม่รู้จะเริ่มแต่งยังไง เอาแบบนี้ไปก่อนล่ะกัน